Welcome to Brunei ตอนที่ 3
Welcome to Brunei
ตอนที่ 3 : วันแรกในบรูไน
ก่อนเดินทาง มีคนถามว่า บรูไน อยู่ไหน มีอะไรที่ทำให้นึกถึงบ้าง?
อธิบายสั้น ๆ ให้นึกออก บรูไน คือ ประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนเกาะบอร์เนียว เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยแหล่งผลิตน้ำมัน เป็นธุรกิจของประเทศ อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ เป็นชาวมุสลิมศาสนาอิสลาม และยังมีพระราชา คือ องค์สุลต่านที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในประเทศมาอย่างยาวนานเฉกเช่นประเทศของเรา
อืมม ฟังดูแล้ว ประเทศนี้น่าสนใจที่จะไปเยือน ไม่ไกลมาก มีบินตรง คนไปเยือนกันไม่เยอะเหมือนประเทศอื่น ว่าแล้วก็อย่ารอช้า เก็บกระเป๋าออกเดินทางเลยด่วน ๆ
วันแรกในบรูไน
9 สิงหาคม 2562
เราใช้บริการของสายการบิน Royal Brunei Airlines สายการบินประจำชาติของบรูไน เป็นเที่ยวบินตรงสายการบินเดียวจากประเทศไทยสู่บรูไน ราคาถือได้ว่าคุ้มค่า และมีราคาพิเศษชวนให้ทุกท่านเดินทางมาเรื่อย ๆ นับว่าเป็นตัวเลือกอันดับแรกสำหรับการเดินทางมายังบรูไน เราเริ่มบินตอน 13.30 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ การบริการเช็คอินสะดวกสบาย ยิ่งถ้าทำการ Check-in Online มาแล้ว ยิ่งสะดวกมาก เจ้าหน้าที่เช็คอินบริการยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่นานเราก็ได้ทำการเช็คอิน ผ่านต.ม. และเดินเข้าสู่ห้องคอยในเวลาแปปเดียวจริง ๆ
อ่อ สนามบินสุวรรณภูมิมีบริการจุดชาร์ทอุปกรณ์มือถือ แล็บท้อป แบบฟรี ๆ แล้วในหลาย ๆ จุด ท่านเพียงแค่นำสายชาร์ทติดตัวไปด้วยนี่จบเลย คอโซเชี่ยลถูกใจสิ่งนี้ ได้เวลาเครื่องออกแล้ว เดินทางไปพร้อมกับเราเลยครับ
วันนี้ฝนตรงที่สุวรรณภูมิ แน่นอนว่าเราอยู่ในช่วงกลางฤดูฝน เราก็ได้แต่ภาวนาลึก ๆ ว่า ไปบรูไน จะไม่เจอน้องฝนมาเยือนในระหว่างที่เราเดินทางจะดีที่สุด แต่ถ้าฝนมาจริง ๆ เราก็ต้องไม่คาดหวังว่าจะเป็นอุปสรรค ถือว่าเป็นสีสันของชีวิต สบายใจกว่าเยอะ อย่าไปเครียด เดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก เราเดินขึ้นเครื่องบิน พบการต้อนรับและรอยยิ้มจากแอร์โอสเตส และการทักทายด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงที่ฟังได้ไม่ยาก อีกทั้งเราเองก็ยังได้ยินว่าแอร์โฮสเตสยังพูดภาษามาเลย์อีกด้วย ซึ่งภาษามาเลย์ สามารถใช้ได้ ทั้งในมาเลเซีย บรูไน ไปจนถึงอินโดนีเซีย อาจมีบางคำที่ต่างกันออกไป แต่โดยรวม ๆ ใช้ได้ทั้งสามประเทศ ถ้าคุณพูดภาษามาเลย์ หรือ ภาษาอินโดนีเซียได้ จะยิ่งเพิ่มความสนุก และเข้าถึงผู้คนทั้ง 3 ประเทศได้มากขึ้น
สัมผัสแรกที่เดินขึ้นมาบนเครื่องบิน คือ เครื่องบินใหม่มากก ใช้โทนสีเหลือง สีไข่ สวยงาม ที่นังก็ได้มาตราฐานตามปกติของชั้น Economy Class เฮ้ย ประเทศนี้ไม่ธรรมดาแฮะ ยิ่งเพิ่มความรู้สึกว่าบรูไนน่าไปเยือนขึ้นมาก ๆ หลังจากเราได้นั่งเรียบร้อย รัดเข็มขัด พร้อมบินแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลประหลาดใจ คือ หน้าจอที่อยู่หน้าเรา ตัดขึ้นสู่หน้าจอบทสวดช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นภาษาอารบิค! และมีเสียงสวดเหมือนสวดมนต์เลย แต่เป็นของทางอิสลาม ซึ่งมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ ว่า พระผู้เป็นทรงเจ้าคุ้มครองเราและเที่ยวบินนี้ให้ปลอดภัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นการต้อนรับเข้าสู่ประเทศบรูไนด้วยวัฒนธรรมแรกอันมาจากศาสนาที่เราได้พบเจอกันเลย
เที่ยวบินนี้ เราใช้เวลาบิน ประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที บินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านทางภาคตะวันออกของไทย กัมพูชา ทางใต้ของเวียดนาม ข้ามทะเลจีนใต้ มุ่งหน้าสู่ประเทศบรูไน บนเครื่องบริการอาหารกลางวัน ซึ่งปกติมีให้เลือก 2 เมนู คือ เนื้อวัว หรือ ไก่ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งข้าว หรือ เส้น โดยครั้งนี้ ผมได้สั่งเป็นมักกะโรนีซอสไก่ ซึ่งน้อยครั้งมาก ๆ สำหรับผมเอง ที่จะกินอาหารบนเครื่องแบบหมดเกลี้ยง ไม่เหลือสักอย่าง ซึ่งสายการบินนี้ อาหารอร่อยมาก ถูกปาก รสชาติกำลังดี ไม่หนักและไม่จืดเกินไป กินเพลิน ๆ ก็หมดไปดื้อ ๆ ใช้เวลาบินไม่นาน ก็ได้เวลาแลนด์ดิ้งแล้วว
17.15 น. ตามเวลาของบรูไน เป็นเวลาที่เราเดินทางถึงที่นี่ (เวลาที่ประเทศบรูไน เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) เราก็มาถึงสนามบินนานาชาติของประเทศบรูไน เป็นสนามบินเพียงแห่งเดียวของประเทศ มีเที่ยวบินลงที่นี่ไม่มากนัก รอบ ๆ สนามบิน เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวจำนวนมาก ตัวตึกของสนามบินก็ออกแนวศิลปะแบบตะวันออกกลาง ความรู้สึกแรกที่เราเข้าสู่สนามบิน คือ ในตัวตึกสนามบิน อากาศเย็นมากก เย็นเพราะที่นี่เปิดแอร์กันเต็มที่ คาดว่าน่าจะราว ๆ 18-19 องศา ใครลืมเอาเสื้อคลุมมาด้วยก็หนาวกันไปครับ แต่ไม่นานนัก เดี๋ยวเราก็ต้องออกจากสนามบินแล้ว
เราผ่าน ต.ม. ของประเทศบรูไน ที่นี่แปลกมาก ใช้เจ้าหน้าที่ ตม. เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ความรู้สึกกดดันของนักท่องเที่ยวลดลงไปเยอะมากครับ อ่อ ผู้หญิงที่นี่ โดยมาก มักคลุมใบหน้าและผมด้วย ฮิญาบ ตามแบบปฏิบัติของชาวมุสลิมครับ อาจจะพบเจอผู้หญิงบรูไนที่ไม่คลุมผมและใบหน้าบ้าง แต่โดยมากเป็นชาวจีนที่อยู่ในบรูไนซะมากกว่า เจ้าหน้าที่ ต.ม. ตรวจดูเอกสาร มีสอบถามนิด ๆ หน่อย ๆ อันได้แก่ มากี่วัน มาทำอะไร และขอดูตั๋วขากลับเท่านั้นเอง เราก็เข้าประเทศบรูไนอย่างเป็นทางการแล้ว (คนไทย สามารถเข้าประเทศบรูไนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และอยู่ได้นานถึง 14 วัน) จากนั้น เราก็เดินไปรับกระเป๋า และเดินออกจากสนามบิน
เราได้พบกับการต้อนรับจากบริษัททัวร์ที่เราทำงานร่วมกันมารับเราถึงที่สนามบิน ภายในสนามบินผู้คนไม่แออัด สบาย ๆ เราพบกับไกด์ของเรา คือ คุณมูฮัมหมัด ชายร่วมท้วม ผิวสีเข้มตามสไตล์คนเอเชียแบบเรา ๆ เป็นทั้งคนขับและไกด์ ที่บริเวณหน้า Hall Arrival มีร้านจำหน่าย Sim Card โทรศัพท์ ซึ่งเป็นเครือข่ายภายในประเทศบรูไน มี 2 เจ้า คือ Progresif เป็นเจ้าใหญ่ในประเทศ และ DST ที่ให้แพ็คเกจราคาที่คุ้มค่า เลือกยี่ห้อที่ชอบกันได้เลย ตลอดจนที่นี่ มีร้านรับแลกเงินด้วย ใครต้องการแลกเงินบรูไน สามารถแลกได้เลยที่นี่ สะดวกมากที่สุด เรทก็ดี เพราะถ้าเดินทางเข้าไปในเมือง จะหาร้านแลกเงินได้ลำบาก ต้องไปแลกในห้าง หรือตามโรงแรม ซึ่งเรทแทบจะไม่ต่างกัน แนะนำว่าแลกจากสนามบินไปเลยครับ และก็ค่าเงินของที่นี่ คือ Brunei Dollar (BND) โดย 1 BND = 23-25 THB และค่าเงินบรูไนดอลล่าร์ จะอ้างอิงกับ Singapore Dollar (SGD) เท่ากับว่าที่นี่ คุณสามารถใช้เงินสิงค์โปร์ดอลล่าร์ในประเทศบรูไนได้อีกด้วย แต่อาจจะขาดทุนเล็กน้อยเป็นหลักตัวเลขเล็ก ๆ เพราะค่าเงินสิงค์โปร์มีค่าสูงกว่าเงินบรูไนดอลล่าร์เล็กน้อย (ประมาณว่า 1 SGD = 0.97 BND) ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ จะชอบเงินสิงค์โปร์ดอลล่าร์มากกว่าด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่ใช้ทุกร้านเสมอไปที่จะรับเงินสิงคโปร์ มักจะเป็นร้านในห้างมากกว่า และต้องสอบถามกับทางร้านค้าก่อนเสมอ ซึ่งถ้าต้องแลกเงินแล้วจริง ๆ ควรใช้เงินบรูไนดอลล่าร์ดีกว่าครับ ใช้จ่ายได้ทุกร้าน แต่ถ้ามีเงินสิงคโปร์อยู่แล้ว ก็แลกเงินแค่บางส่วนก็พอครับ
สมควรแก่เวลา เราเดินทางออกจากสนามบินไปยังลานจอดรถ สิ่งแรกที่สังเกต คือ ผู้คนไม่พลุกพล่านเลย รถก็ไม่เยอะเท่าไหร่นัก รอบ ๆ ก็มีทั้งรถแบบ Hi End ไปจนถึงรถปกติแบบบ้านเรา เรากำลังจะเดินทางเข้าสู่บริเวณตัวเมืองบันดาร์ เสรี เบกาวัน (Bandar Seri Begawan) อันเป็นเมืองหลวง และเมืองหลักของประเทศบรูไน ซึ่งชื่อเต็ม ๆ ของประเทศนี้ คือ บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) เราออกจากสนามบินเวลา 16.45 น. เพื่อเข้าเมืองไปรับประทานอาหารค่ำ ณ ร้าน Aiko Japanese Restaurant ซึ่งแปลกใจไม่น้อย มื้อแรก็อาหารญี่ปุ่นเลยหรือ แต่ไกด์มูฮัมหมัดบอกเรา ว่า ที่นี่เป็นการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น แต่อาหารโดยมาก เป็นอาหารแบบบรูไน ก็คือ อาหารที่มีข้าว มีแกง เหมือนดั่งประเทศมาเลเซีย และ อินโดนีเซียนั่นเอง เราวิ่งผ่านถนนในเมือง ผ่านตลาด ผ่านมัสยิด ถนนหนทางที่นี่ถือว่าดีมาก ๆ ผู้คนใจเย็นกันจริง ๆ ขนาดว่ามีคนข้ามถนน เขายังชะลอ และเบรคมาให้ตั้งแต่ไกล ใช้ความเร็วกันไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยซ้ำ รถก็น้อยกว่าประเทศไทยมากก ที่สำคัญ รถแทบจะไม่ติดเลย แม้ว่าจะผ่านแยกไฟแดง แต่ก็แปปเดียว ไม่เสียสุขภาพจิตแบบบ้านเราเลย เพราะประชากรทีนี่น้อยมาก มีเพียงแค่ราว ๆ 4 แสนคนเท่านั้น โดยขนาดของประเทศนั่น ถ้าเอาจริง ๆ แล้ว ดูจะเล็กกว่าเชียงใหม่ หรือ นครราชสีมาด้วยซ้ำไป ผู้คนทีนี่เลยดูเบาบางกว่าประเทศอื่นใน ASEAN มาก มีความสุขจริง ๆ ที่มาเยือนทีนี่ เพราะเงียบสงบ รถไม่ติด อากาศก็มีมลพิษน้อย ต้นไม้เขียว ๆ ก็มีเรียงรายตลอดสองข้างทาง ผมรู้สึกประทับใจที่นี่ไปแล้วจริง ๆ
16.58 น. เราก็มาถึงร้านอาหารกันแล้ว (ไม่ถึง 15 นาที เราก็มาถึงตัวเมืองกันแล้ว) บอกเลยว่าฟินสุด ๆ รถไม่ติด เราก็มาทานอาหารค่ำกันเลยที่ร้าน Restoran & Sajian Aiko Sushi นึกว่าจะได้กินซูชิซะแล้ว แต่เราได้กินเป็นอาหารสไตล์มาเลย์-อินโดแทน มีทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าว และแกงชนิดต่าง ๆ รถชาติ จัดดีอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียว ใกล้เคียงกับบ้านเรา แต่ไม่ถึงกับเข้มข้นแบบไทย แต่นับว่าอร่อย และรสชาติดีครับ ซึ่งในทัศนะส่วนตัวของผมเองนั้น อาหารที่บรูไนรถชาติดี คนไทยทานได้สบาย แทบไม่ต้องเสริมอาหารกันเลยหล่ะ (แถมที่นี่ ก็ยังแอร์เย็นเหมือนสนามบินอีกตามเคย ผมคิดว่าคนที่นี่คงติดการอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ จนชินไปแล้ว)
17.43 น. เรากินอาหารค่ำจนอิ่ม จึงเดินทางต่อไปยังมัสยิดทองคำ เจมส์ อาร์ อัสซานัส โบลเกียห์ (Jame’Asr Hassanail Bokiah Mosques) เราใช้เวลาเดินทางเพียง 5-7 นาทีเท่านั้น เราก็มาถึงมัสยิดแห่งนี้ มัสยิดทองคำ เจมส์ อาร์ อัสซานัส โบลเกียห์” แห่งประเทศบรูไนดารุสซาลาม เป็นมัสยิดประจำสุลต่านองค์ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัจญี ฮัสซานัล โบลกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ (เป็นสุลต่านองค์ที่ 29) โดยนำเข้าวัสดุของเด่นของดีจากทุกมุมโลกมาตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นหินอ่อนจากประเทศอิตาลี พรมจากเบลเยียมและซาอุดิอาระเบีย แกรนิตจากเซี่ยงไฮ้ กระจกแต่งบานหน้าต่างจากประเทศอังกฤษ ห้องละหมาดที่ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองอร่าม กลางห้องมีเชนเดอเลียร์ขนาดยักษ์จากออสเตรเลีย ยังไม่รวมรายละเอียดอื่นๆยิบย่อยอีกอย่างสิ่ง ใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานถึง 7 ปี สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถชมได้จากบริเวณรอบ ๆ มัสยิดเท่านั้น ซึ่งภายในมัสยิดสงวนไว้สำหรับชาวมุสลิมที่จะเข้ามาทำพิธีละหมาดเท่านั้น ซึ่งการไปท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเทียวในเชิงศาสนาในทุก ๆ แห่ง เราต้องปฏิบัติและเคารพกฏของศาสนา ๆ นั่น ๆ ซึ่งลำพัง จากด้านนอก ก็นับว่าสวยงามมาก ๆ โดมสีทอง และตัวอาคารสีขาว สวยงามมาก สมดั่งพระเกียติยศขององค์สุลต่านยิ่ง
อ่อ ลืมบอกไป เราเองได้มาเยือนประเทศบรูไนในช่วงวันพิเศษของศาสนาอิสลาม คือ วันอิดิลอัฏฮา (Idul Adha) วันอิดิลอัฏฮา หรือ วันอี๊ดใหญ่ เป็นวันที่อนุญาตให้ชาวมุสลิมเฉลิมฉลองเพราะในศาสนาอิสลาม ซึ่งปกติแล้ว ในศาสนาอิสลาม มีงานเฉลิมฉลอง แค่ 2 วันนี้ เท่านั้น คือ
ก่อนจะมีวันเทศกาลเฉลิมฉลองนั้น จะเริ่มต้นด้วย ช่วงการถือศีลอด (เป็นช่วงเดือนที่เรียกว่า รอมฏอน Ramadan) เป็นเดือนที่ชาวมุสลิมถือศีลอดไม่รับประทานอาหารหรือน้ำ ระหว่างดวงอาทิตย์ขึ้นถึงดวงอาทิตย์ตก โดยจะรับประทานอาหารได้หลังดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
(1) วันอิดิลฟิตรี (Idul Fitri) หรือ เรียกว่า อี๊ดเล็ก โดยก่อนจะถึงวันอี๊ดเล็ก ตรงกับวันที่ 1 เดือนเชาวาล เป็นเฉลิมฉลองที่ได้สิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน จะมีการละหมาดที่มัสยิด หากใครมีฐานะดีก็จะบริจาคเงินแก่เด็กและคนชรา และขออภัยญาติมิตรหากเคยล่วงเกินต่อกัน (ประมาณเดือนสิงหาคม – กันยายนของทุกปี) โดยจะมีพิธีฉลองใหญ่ 2 วัน 2 คืน มีการจ่ายซะกาต ตามที่อิสลามกำหนด
หลังจากนั้น จะมีการเริ่มการแสวงบุญของชาวอิสลาม คือ การประกอบพิธีฮัจญ์ เป็นการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะหฺในเดือนซุลฮิจญะหฺ ตามวันเวลา และสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางศาสนาอิสลามกำหนดไว้ ซึ่งศาสนกิจข้อนี้เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิง ทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และการเดินทาง ที่จะต้องปฏิบัติ
ในช่วงฮัจญ์ ชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางเข้าสู่อาระเบีย โดยก่อนอื่นจะมีการทำ อิหฺรอม นั่นคือการตั้งใจว่าจะทำพิธีฮัจญ์ ก่อนการเข้าไปในแผ่นดินหะรอม (แผ่นดินต้องห้าม) โดยจะปฏิบัติตามกฎของหัจญ์ อาทิเช่น การไม่สมสู่ การไม่ล่าสัตว์ในแผ่นดินหะรอม การไม่ตัดเล็บหรือผม การไม่เสริมสวยหรือใช้น้ำหอม ผู้ชายจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย มาสวมผ้าเพียงสองผืน แล้วต่างก็จะมาชุมนุมกันที่ ทุ่งอะร็อฟะหฺ ในตอนเช้าตรู่ของวันที่เก้าของเดือนซุลฮิจญะหฺ
แล้วพอตกค่ำ ซึ่งตามปฏิทินฮิจญ์เราะหฺจะเป็นคืนที่ 10 เดือนซุลฮิจญะหฺ เหล่านักแสวงบุญจะเดินทางผ่าน ทุ่งมุซดะลิฟะหฺ พักชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ ทุ่งมีนา ก่อนเที่ยงของวันต่อไป
โดยพอถึงวันี้ ก็คือ
(2) วันอิดิลอัฏฮา คือหลังจากวันอีดิลฟิตรี่ ราว ๆ 2 เดือน กับอีก 10 วันจะถึงวันอีดิลอัฏฮา หรือ อี๊ดใหญ่ ในวันที่ 10 เดือนซุลหิจญะฮฺ์ โดยวันอิดิลอัฏฮา ผู้คนที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ จะสิ้นสุดพิธีฮัจญ์ในวันนี้ โดยคนที่ไม่ได้ไปทำฮัจญ์ ก็จะมีงานเฉลิมลองเลี้ยงอาหารที่บ้าน และเชือดสัตว์ (กุรบาน) ในยามดุฮา คือยามสายหลังตะวันขึ้น แต่ก่อนเที่ยง เพื่อแจกจ่ายให้ ผู้ยากจน และเพื่อนบ้าน ไม่ได้เชือดสัตว์ เพื่อบูชายันต์แต่อย่างใด เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ไม่มีความต้องการจากสิ่งที่พระองค์สร้างแต่อย่างใด แต่เป็นการเชือดเพื่อแจกจ่ายให้คนยากจนซึ่งถือเป็นการเอื้อเฟื้อคนในสังคมเดียวกัน
งานเฉลิมฉลองทั้งสองวันอีดนี้ คือ วันอีดิลฟิตรฺและอีดิลอัฎฮานั้น ศาสนาอนุญาตให้มีการริ่นเริงได้ตลอดสองวัน แต่ต้องเป็นการรื่นเริงที่ไม่ทำให้ลืมศาสนาและพระเจ้าคือองค์อัลลอฮฺ หมายถึง ต้องไม่เป็นการรื่นเริงที่กระทำสิ่งที่ผิดศาสนา แต่ต้องแสดงออกในความดีใจที่อยู่ในกรอบแห่งศาสนาเท่านั้น เพราะการรื่นเริงหลังเหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติศาสนกิจมานั้น ต้องไม่ทำสิ่งใดที่จะเป็นการทำลายผลแห่งการทำดีก่อนหน้านี้ด้วย
สมควรแก่เวลา เราเดินทางออกไปชมตลาดค่ำของประเทศบรูไนกัน นามว่า Pasar Pelbagai Barangan Gadong ขับรถไม่ถึง 5 นาที เราก็มาถึง ที่นี่เป็นตัวตึกโล่ง ๆ แบบตลาด อตก. บ้านเรา เป็นศูนย์รวมผลไม้บนเกาะบอร์เนียว และ อาหารแบบท้องถิ่นในประเทศบรูไน เราจะพบกับผู้คนที่คราคร่ำทั่วทุกพื้นที่ (แต่ถ้าเที่ยบกับประเทศไทยแล้ว ประเทศไทยคนเยอะกว่ามาก) ที่นี่เราพบกับผลไม้ท้องถิ่นจำนวนมาก ราคาสมเหตุสมผล แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะสัมผัสได้ คือ กินทุเรียนที่ประทะเข้าหน้าคุณตั้งแต่ออกจากรถเลยเชียวหล่ะ จัดได้ว่าที่นี่ คือสวรรค์ของคนรักทุเรียนก็ไม่ผิดนัก และก็ยังมีกลิ่นของผลไม้อื่น ๆ อบอวลทั้งตลาดอีกมากมาย
ผลไม้ที่เราแนะนำให้มาชมและชิม อันได้แก่;
1. ทุเรียนพื้นเมือง (Durian) ทุเรียนที่นี่จะไม่เหมือนกับบ้านเรา คือ ลูกมีขนาดเล็ก หนามแหลม แต่กลิ่นแรงกว่าบ้านเรามาก เนื้อทุเรียนจะมีขนาดเล็ก มีสีสันกว่า มีทั้งสีเหลือง สีเหลืองเข้ม สีส้ม และสีแดง นับว่าแปลกมาก เป็นทุเรียนประจำถิ่น หากินได้บนเกาะบอร์เนียวเท่านั้น
2. ตาแรป (Tarap) นับได้ว่าแปลกประหลาดอย่างแท้จริงสำหรับคนไทย พบได้ในเกาะบอร์เนียวเท่านั้น เพราะบ้านเราไม่น่าจะมี หน้าตาจากภายนอกจะคล้าย ๆ กับลูกสาเก แต่มีขนาดใหญ่กว่า กลิ่นเหมือนขนุนจำปาดะ วิธีกินไม่ต้องใช้มีด แค่แงะ ๆ ก็กินได้แล้ว ด้านในลูกตาแรป จะมีลักษณะคล้ายขนุน โดยสีใยที่รองรับผลด้านในจะเป็นสีเหลือง เหนียว แต่ไม่มียางแบบขนุนปกติ ผลด้านในที่กินได้ จะเป็นสีขาวซีด ๆ รถสัมผัสจะนิ่ม ๆ คล้ายขนุน แต่ยุ่ยและนิ่ม ฉ่ำน้ำกว่า มีเมล็ดด้านในเหมือนขนุนปกติเลย เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีกลิ่นที่จัดว่าแรง คนชอบกินขนุน และผลไม้แปลก ๆ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
3. มะม่วงป่า บลัมบางัน (Bambangan) อีกหนึ่งผลไม้ที่พบได้ในเกาะบอร์เนียวเท่านั้น มันคือมะม่วงที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักไม่น้อย หน้าตาจะพอ ๆ กับมะพร้าวที่ปลอกเปลือกแล้ว สีเปลือกเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เปลือกแข็งเล็กน้อย เนื้อข้างในเป็นสีขาว หรือออกเหลืองเล็กน้อย มีกลิ่นแบบมะม่วงแบบบ้านเรา สัมผัสจะลืน ๆ รถชาติจะหวานเล้กน้อย และฉ่ำน้ำ มีเม็ดขนาดใหญ่ด้านใน อันนี้ต้องลองครับ เพราะบ้านเราไม่มีขาย
4. ปูลาซาน (Pulasan) มันคือเงาะครับ แต่เปลือกของปูลาซาน จะเป็นผิวแบบหนาม ๆ แต่ไม่คม ปลอกด้วยมือได้ ผลสุกจะมีเปลือกเป็นสีแดงเข้ม ถ้าสุกมาก ๆ จะเริ่มออกเป็นสีดำ ผลด้านในเป็นสีขาวเหมือนเงาะทุกประการ มีเม็ดด้านใน แต่จะไม่ร่อนเหมือนเงาะแบบบ้านเรา รถชาติจะคล้าย ๆ เงาะ บวกกับ ลิ้นจี่หน่อย ๆ จัดว่าแปลกครับ ราคาไม่แพง กินได้เพลินเชียว
5. ดาไบ หรือ บัวดาไบ (Dabai or Buah Dabai) เป็นผลเล็ก ๆ สีดำ ๆ เปลือกแข็ง ต้องเอาไปแช่น้ำอุ่น แล้วกระเทาะเปลือกออก ด้านในมีเนื้อสีเหลืองนุ่ม รถชาติคล้ายอะโวคาโด้ หาพบได้เฉพาะที่เกาะบอร์เนียวเท่านั้น
ส่วนผลไม้อืน ๆ อย่าง เงาะ ขนุน มังคุด ลองกอง ลางสาด แก้วมังกร สละ มะเฟือง มะม่วงเขียว และ กล้วย (มีทั้งกลับ ก็มีขายในตลาดนี้เช่นกัน รวมไปถึงอาหารหลากหลายชนิด อันได้แก่ สะเต๊ะ ข้าวแกง ขนม ฯลฯ มีขายที่ตลาดค่ำมากมาย อาหารที่น่าสนใจ คือ ข้าวไก่ทอด หรือ นาซี กาต๊อก (Nasa Katok) ไกด์บอกเราว่า เป็นอาหารจานด่วนที่สะดวกที่สุด ทานง่าย และราคาถูก เพียง 1 BND เท่านั้น หน้าตาจะเป็นข้าวสวย + ไก่ทอด + น้ำพริก (ที่นี่เรียก Sambal) แล้วห่อในแผ่นห่อแบบข้าวมันไก่ พกไปกินที่ไหนก็ได้ สะดวกมาก เราได้ลองกันแล้ว บอกได้เลยว่ารสชาติคล้ายกับไก่ทอดหาดใหญ่มาก ๆ เพียงแค่ขาดหอมทอดเท่านั้นเอง เป็นอาหารที่ถูกปาก น้ำพริกรสชาติดี ที่สำคัญ ถูกจริงอะไรจริง ส่วนขนมที่น่าสนใจก็เป็นขนมไข่ หน้าตาเหมือนบ้างเรามาก ๆ เพียงแต่รสชาติของที่นี่ จะเน้นกรอบและหวาน โดยรวมถือว่าดีครับ ซื้อไว้กินเล่นได้
จัดได้ว่าตลาดกลางคืนของที่นี่ ต้องไม่พลาด ควรต้องมาเลยหล่ะ แล้วส่วนตัวเป็นคนชอบเดินดูตลาด ชมวิธีชีวิตและอาหารของผู้คนในถิ่นต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงเพลินมาก งานนี้อิ่มหนักกว่าเดิม ได้เวลาเดินทางไปที่พักของเราแล้ว นั่งรถไปเพียงไม่ถึง 5 นาที เรามาถึงที่พักกันที่โรงแรม The Centrepoint Hotel เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว อยู่ใจกลางเมืองบันดาร์ เสรี เบกาวัน ห้องพักให้ความรู้สึกสไตล์โคโลเนียล มีเฟอร์นีเจอร์มากมายทำด้วยไม้ และในห้องปูพรม สะอาดในระดับที่ดี แถมเปิดห้องพักมา ทุกห้องอากาศเย็นมาก คือ คุณไม่ต้องเปิด หรือปิดแอร์เลยหล่ะ ที่นี้แอร์จะเป็นแบบศูนย์กลาง ในห้องที่ผมพักเองนั้น อุณหภูมิอยู่ที่ 19 องศา ซึ่งถือว่าเย็นมาก ๆ คือผมสรุปได้เลยว่า ทุกที่ที่มีแอร์ในบรูไน เปิดเย็นเฉียบทั้งหมด ยกเว้นแอร์บนรถเท่านั้นเองจริง ๆ
ด้วยความที่โรงแรม The Centre Point ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จึงมีแหล่งช้อปปิ้งอยู่ไม่ห่างกันนัก ทั้งร้าน McDonald KFC และอื่น ๆ แถมสามารถเดินไปห้างได้สบาย ๆ โดยห้างที่อยู่ใกล้กับที่พักของเราคือ The Mall ผมได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่ห้างในคืนนี้ เป็นห้างที่กว้างพอประมาณ 4 ชั้น สินค้าที่ขายก็จะคล้าย ๆ กับห้างบ้านเรา ห้างปิด 4 ทุ่ม แต่เราไปถึง 20.18 น. แต่คนเดินห้างน้อย อาจเพราะเราไม่ชิน เพราะที่นี่ประชากรไม่เยอะ คนเลยเดินไม่เยอะเหมือนบ้านเรา โดยรวมเดินเล่นได้เพลิน ๆ ครับ แถมชั้นบนสุดมีโรงหนังอีกด้วย
คืนนี้ เราเดินทางมาทั้งวัน ได้ชมเมืองในบางส่วน เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมเดินทางไปอีกหลายที่ พักผ่อนก่อนดีกว่าครับ รอชมกันเลยในตอนที่ 4 เร็ว ๆ นี้